วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

กลอนตลก


กลอนผีอำ "

คืนนี้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย
เหงื่อโทรมกายแน่นหน้าอกเหมือนถูกผี
ดิ้นไม่ได้มันอึดอัดไม่เข้าที
ดูดีดี ตินใครหว่า อ๋อ..เมียกรู (เฮ้อ! อีเวร)

สักวาผีหลอก "

สักวาวันนี้มีเรื่องบอก
ใช่ลวงหลอกบอกไปให้ขวัญหาย
ฉันเห็นคนห่มผ้าขาวเดินเยื้องกราย
แทบวางวายมองออกไป
........อ๋อ! แม่ชี

การทำไข่เค็ม


การทำไข่เค็ม

วัสดุอุปกรณ์
1. ไห หรือภาชนะบรรจุ
2. เกลือเม็ด 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 4 ถ้วยตวง
4. ไข่เป็ด 10 ฟอง
5. หม้อต้ม
6. เตาไฟ
7. ถุงพลาสติก
8. ยางรัด
9. ผ้าขาวบาง
10. สารส้ม
วิธีทำ
1. ตวงน้ำและเกลือตามอัตราส่วน ต้มให้เกลือละลายทำการกรองทิ้งไว้ให้เย็น
2. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง วางเรียงในภาชนะบรรจุ
3. เทน้ำเกลือลงในภาชนะบรรจุ
4. นำถุงพลาสติกใส่น้ำเกลือมัดปากถุงให้แน่นนำมาวางกดทับไข่ (ไข่ต้องจมอยู่ในน้ำเกลือตลอดเวลา)
5. นำผ้าพลาสติกปิดปากไหมัดให้แน่นปกปิดมิดชิด เก็บไว้ประมาณ 21 วัน
6. เมื่อครบ 21 วันนำไข่ออกมาล้างให้สะอาดนำไปต้มใช้ไฟปานกลาง นานประมาณ 30 นาที (ในขั้นตอนนี้ให้ใส่สารส้มเล็กน้อยเพื่อให้สารส้มกัดสีผิวของเปลือกไข่ ให้ขาวนวลดู สะอาดสวยงาม น่าซื้อ น่ารับประทาน)
ไข่เค็มสูตรนี้เมื่อต้มเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน อย่างน้อย 25 วัน
ที่มา : เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี

การปลูกพืชไร้ดิน (Soilless Culture) ด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics)

การปลูกพืชไร้ดิน (Soilless Culture) ด้วยระบบไฮโดรโปนิกส์ (Hydroponics)

จากในอดีตที่ผ่านมาการปลูกพืชไร้ดิน ถือว่าเป็นการปลูกพืชโดยใช้เทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนค่อนข้างสูงเกินไปสำหรับเกษตรกรบ้านเรา แต่เนื่องจากการปลูกพืชในดินติดต่อกันมาเป็นเวลานานมากทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งดินเค็ม, เดินเปรี้ยว, แมลงศัตรูพืช ทำให้ต้องใช้สารเคมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นดัดแปลงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการปลูกพืชไร้ดิน โดยใช้อุปกรณ์เก่าจากโรงเรือนฟาร์มไก่ไข่ มาทำเป็นแปลงปลูก และใช้ระบบน้ำวนไหลผ่านรากพืช โดยใส่ธาตุอาหารที่พืชต้องการลงในถังน้ำ ซึ่งทำให้ลดต้นทุนการปลูกพืชไร้ดินลงได้มาก จากการลองผิดลองถูกมาเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ก็ได้ผลผลิตตามที่ตลาดต้องการ และที่สำคัญคือไม่ต้องใช้สารเคมีในการกำจัดแมลงศัตรูพืช ทำให้ผลผลิตที่ได้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคจริงๆ

ข้อดีของการปลูกพืชไร้ดิน
1. สามารถปลูกพืชได้ทั้งปีเป็นการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตให้สูงขึ้นกว่าแบบเก่า 50-100% และยังสามารถออกแบบให้ประหยัดพื้นที่การปลูกได้ด้วย
2. ดูแลได้ทั่วถึงเนื่องจากเป็นระบบที่ง่ายต่อการควบคุมและป้องกันโรคและแมลง ไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลง 100% และไม่มีปัญหาในการกำจัดวัชพืชในพื้นที่ปลูก
3. ประหยัดน้ำและปุ๋ยเพราะสามารถควบคุมได้ตามที่พืชต้องการ
4. ไม้ต้องไถพรวน สามารถลดการทำลายหรือชะล้างหน้าดิน
5. มีผลผลิตสม่ำเสมอ และอายุเก็บเกี่ยวเร็วขึ้น เนื่องจากพืชสามารถนำธาตุอาหารไปใช้ได้อย่างสม่ำเสมอ
6. ผลผลิตที่ได้มีความสะอาด สด คุณภาพดี และที่สำคัญคือ ปลอดสารพิษ
7. สามารถพัฒนาการปลูกไปในเชิงพาณิชย์ได้

ข้อเสียของการปลูกพืชไร้ดิน

เนื่องจากมีการดัดแปลงแก้ไขและปรับปรุงในระบบเรื่อยมา ทำให้ลดข้อเสีย
ต่างๆที่เคยพบในอดีตลงไปได้มาก เช่น
1.ข้อเสียในเรื่องของเทคโนโลยีต่างประเทศที่ราคาค่อนข้างสูง ตอนนี้สามารถใช้ภูมิ
ปัญญาชาวบ้านดัดแปลงได้ ซึ่งผลผลิตที่ได้ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
2. ความหลากหลายของพืชที่ปลูกไร้ดิน ในระยะแรกจะปลูกเฉพาะผักต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่ใน ปัจจุบันนี้สามารถปลูกได้ทั้งผักไทย ผักจีน และผักต่างประเทศ
3. ผู้ปลูกต้องมีความรู้อย่างแท้จริงต่อการปลูกพืชไร้ดิน ซึ่งในปัจจุบันได้มีเอกสารแนะนำ และสามารถขอข้อมูลได้จากสำนักงานเกษตรในทุกพื้นที่
4. เรื่องของตลาดนั้นในปัจจุบันไม่ถือเป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดีต่อเกษตรกรที่สนใจทำธุรกิจการปลูกพืชไร้ดินมากขึ้น

ความปลอดภัยต่อผู้บริโภคพืชไร้ดิน

การปลูกพืชไร้ดินเป็นการนำสารละบายธาตุอาหารมาละลายโดยใช้ธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อความต้องการของพืชเช่นเดียวกับการปลูกพืชในดิน แต่ต่างกันตรงพืชที่ปลูกในดินจะต้องอาศัยจุลินทรีย์มาเปลี่ยนเป็นรูปของธาตุอาหารซึ่งบางครั้งหากในดินมีธาตุโลหะหนัก เช่นดีบุก ตะกั่ว แคดเมียม ซึ่งเป็นพิษต่อผู้บริโภค จุลินทรีย์ก็เปลี่ยนให้พืชสามารถดูดธาตุที่เป็นพิษเข้าไปได้ แต่ในขณะที่การปลูกพืชไร้ดินเราสามารถควบคุมธาตุที่มีความจำเป็นเฉพาะการเจริญเติบโตของพืชและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคเท่านั้น

กลอนวันปีใหม่ 2553 (3)

หวังอะไรได้ดั่งที่วาดหวัง
ขอพลังจงอยู่คู่เสมอ
ให้ก้าวมั่นสิ่งใดสมใจเธอ
มีความสุขอยู่เสมอ..ทุกคืนวัน

***************************************
ไม่นานก็คงสิ้นปี
สิ่งใดใดไม่ดีให้จางหาย
ก้าวเข้าสู่ปีหน้าเมื่อคราใด
สิ่งดีดีรีบมาใกล้...ให้สมพร

*****************************************
ปีนี้อาจไม่ดีอย่างที่หวัง
ถูกใจเธอหรือยัง...อย่าไปสน
ปีหน้าฟ้าใหม่ไม่อับจน
ขอทุกอย่างสัมฤทธิ์ผลสมดั่งใจ

****************************************
ที่มา http://www.tlcthai.com/

รวมกลอนวันพ่อ รับวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม


กลอนวันพ่อ บทที่ 1
นึกถึงวันที่ผ่านมาพ่อพาเที่ยว....หวังสิ่งเดียวคือความสุขของเรานี่
ที่ผ่านมาทำสิ่งใดที่ไม่ดี....ขอโทษที มิได้มีเจตนา
วันที่ 5 ธันวา มาบรรจบ.....ครบเวลามาหลายครั้งดังใจหมาย
บอกรักพ่อเสียไห้ได้ก่อนตัวตาย....ก็สมแล้วที่เป็นชายกระตัญญู
หากวันนี้ไม่มีสิ่งใดจะไห้พ่อ.....จงไปขอกราบการนแทบเท้าท่าน
พ่อของเราเป็นคนดีทุกสิ่งอัน.....คอยเลือกสรรค์สิ่งดีๆไห้กับเราวั
นเวลาผ่านไปพ่อแก่เฒ่า..... คอยมาเฝ้าตั้งวงเหล้าเริ่มป่อยหน
จึงไม่ค่อยมีเวลาดูแลตน..... จงคอยเป็นอีกคนรวมวงเมา

กลอนวันพ่อ บทที่ 2
เป็นสองมือ อุ้มชู เลี้ยงดูลูก .....เป็นสายใย พันผูก คอยห่วงหา
เป็นอ้อมกอด อบอุ่น ค้ำจุนมา .....เป็นสายตา ห่วงใย ใคร่อาทร
ยามเจ็บไข้ เฝ้าดูแล ด้วยชีวิต .....ยามพลั้งผิด ท่านอบรม คอยบ่มสอน
ยามเหนื่อยหน่ายกำลังใจไม่สั่นคลอน.....ยามใดใด ยังอาทร ไม่เปลี่ยนแปร
ด้วยความรัก ของพ่อ ที่ยิ่งใหญ่ .....ด้วยหัวใจ สะอาดใส เป็นแน่แท้
ด้วยชีวิต เพื่อลูก .. เฝ้าดูแล .....ด้วยสองมือ ไม่ผันแปร เป็นอื่นใด

กลอนวันพ่อ บทที่ 3
อุ่นไอในรักพ่อ.....ผู้ร่วมก่อทอความฝัน
ถักรักจักยืนยัน..... ร่วมแบ่งปัญสรรใจกาย
รักผ่านซ่านดวงจิต.....แม่ร่วมคิดประดิษฐ์หมาย
กำเหนิดก่อเกิดกาย.....ลูกหญิงชายได้สิ่งดี

กลอนวันพ่อ บทที่ 4
คุณพ่อผู้ก่อเกิด..... ให้กำเหนิดเกิดทุกสิ่ง
ด้วยรักจากใจจริง.....รวมหลายสิ่งยิ่งผูกพัน
จากลูกพ่อปลูกรัก.....เกิดตระหนักทุกสิ่งสรร
อุ่นไอสายสัมพันธ์.....ลูกยึดมั่นขอวันทา

กลอนวันพ่อ บทที่ 5
อนุสรณ์กลอนรักฝากให้พ่อ
เป็นรอยต่อสองภพจบประสาน
เมื่อพ่อจากลาไปไกลดวงมาลย์
ทั้งลูกหลานแม่ยังรักจักอาลัย
แม้วันนี้สิ้นพ่อต่อสานรัก
เฝ้าฟูมฟักดูแลช่วยแก้ไข
อย่ากังวลทุกอย่างต้องผ่านไป
เพราะในใจลูกมีพ่อต่อพลัง
ที่มา http://www.zazana.com/

ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )

ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )
5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ
วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

" กลอนวันครู "


" กลอนวันครู "


วันสิบหก มกรา ข้าเคารพ
ขอน้อมนบ แด่ครู ผู้สั่งสอน
คอยอบรม บ่มวินัย ให้รู้นอน
กับคำสอน ล้ำค่า แสนสำคัญ
ศิษย์น้อมกราบ ขอบพระคุณ คุณครูเหลือ
ที่คอยเกื้อ เจือจุน หนุนใจฉัน
ทุกสิ่งดี ที่บัดนี้ มีทุกวัน
ก็เพราะครู ผู้เลอสรรค์ บันดาลมา
มีเพียงคำ กล่าวเอ่ย เผยให้รู้
แด่คุณครู ผู้ชี้ทาง การศึกษา
ศิษย์วันนี้ ดีได้นั้น ด้วยปัญญา
ที่คุณครู ผู้ชี้ฟ้า นำข้าไป

กลอนวันแม่


” กราบเท้าแม่ ”
พระคุณแม่ แท้จริง สุดยิ่งใหญ่
จะหาไหน มาเทียบ เปรียบแม่ได้
แม่รักลูก ฟูมฟัก จากดวงใจ
รักจากใคร ก็มิแม้น มาแทนทัน

บรรจงกราบ แทบเท้า ของคุณแม่
ปิติแผ่ ซาบึ้ง จึงเอ่ยขาน
บทกวี ร้อยกรอง ด้วยกลอนกานท์
ก้มกราบกราน แม่เรา ทุกเช้าเย็น

” รักแม่..สุดหัวใจ ”
แม่ครับ..แม่ คือผู้ให้ ..ความรัก..
แม่ครับ..แม่ คือผู้ให้ ..การศึกษา..
แม่ครับ..แม่ คอยเฝ้าเลี้ยง ..ดูลูกมา..
แม่ครับ..แม่ คอยดุด่า ..ให้ลูกดี..
แม่ครับ..แม่ เปรียบเหมือนพระ ..คอยปกป้อง..
แม่ครับ..แม่ เปรียบโคมทอง ..ส่องวิถี..
แม่ครับ..แม่ เปรียบประหนึ่ง ..ดุจชีวี..
แม่ครับ..แม่ ลูกคนนี้ ..รักแม่ ที่สุดเลย..

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

นิทาน สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา


สุนัขจิ้งจอกกับนกกระสา

ครั้งหนึ่งมีนกกระสาที่เต้นรำเก่งมาก อยู่ตัวหนึ่ง นกกระสาตัวนี้จะออกมาเต้นรำให้ พวกสัตว์ป่าดูอยู่ด้วยความเพลิดเพลินอยู่ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งในทุก ๆ วัน มันมีความ ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่พวกสัตว์ป่าทั้งหลายได้ยกย่องให้มันว่าเป็นที่หนึ่งแห่งการเริงระบำ ของมวลสัตว์ต่าง ๆ และวันนี้ก็เช่นกันมันได้ออกมาเริงระบำอย่างที่เป็นมาตามปกติ แต่ คราวนี้หรือวันนี้...ได้เกิดมีความไม่เป็นปกติ เกิดขึ้นมาเข้าอย่างหนึ่ง คือได้มีสุนัขจิ้งจอกขี้อิจฉา ตัวหนึ่งได้ออกมาเลียนแบบ เต้นรำคู่ไปกับมันด้วยอยู่ข้าง ๆ เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้น่ะหรือ... มันเพียงแต่แค่นึกอิจฉานกกระสามากเป็นที่สุดเท่านั้นเอง...จึงได้ออกมาร่ายรำอวดสัตว์ป่าต่าง ๆบ้าง เพราะอยากที่จะได้คำชมบ้างเท่านั้นเอง แต่พวกสัตว์ป่าต่าง ๆ สิ ให้เป็นหวาดกลัวไปตาม ๆกัน เลยทีเดียว ' เจ้าสุนัขจิ้งจอกมันต้องหวังทำให้พวกเราเพลิดเพลินจนลืมตัว แล้วจับกินตอนนั้น อย่างแน่นอนเลย... ' พวกสัตว์ป่าทุกตัวเลยพากันวิ่งหนี วงแตกกระจายไปหมด

และเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นเข้า เจ้าสุนัขจิ้งจอกมันให้เป็นแค้นเคืองใจนกกระสาเป็นอย่างมาก 'โอ้ย เจ็บใจจังข้าจะเต้นรำเก่งน้อยไปกว่านกกระสาตัวนั้น จนพวกสัตว์ป่าต่าง ๆไม่อยากมองจนวิ่งหนีกัน ไปหมดอย่างนั้นได้ทีเดียวหรือนี่....ฮึ หมั่นใส่เจ้านกกระสาเสียจริง ๆ อย่างนี้ต้องแกล้งให้มันเจ็บใจเล่นบ้าง เห็นจะดี เหอ ๆๆๆ ' และเมื่อคิดได้ดังนั้น มันจึงทำเป็นไปผูกมิตรทำเป็นใจดี ชวนนกกระสามากินอาหาร ที่บ้านของมัน เจ้าสุนัขจิ้งจอกเอ่ยปากชวนนกกระสาว่า ' เราอยากจะเชิญท่านไปกินอาหารที่บ้าน ของเราสักหน่อย' 'ขอบใจมาก' นกกระสาจึงตอบรับ ' เรายินดีที่จะไป'

แต่เมื่อนกกระสามาถึงบ้านของเจ้าสุนัขจิ้งจอกแล้วนั้น มันได้พบว่าสุนัขจิ้งจอกได้ จัดอาหารที่จะเลี้ยงไว้ในจานแบน ๆ 2 จาน นกกระสาไม่สามารถที่จะกินอาหารในจาน นั้นได้ เพราะจะงอยปากของมันยาวนั่นเอง มันให้เป็นหนักใจเป็นอย่างมากกับอาหารใน จานแบน ๆ นั้น แต่มันก็พยามยามที่จะกินเพื่อไม่อยากให้เสียมารยาท โดยใช้จะงอยปาก ของมันจิกลงไปในจานนั้น จนน้ำซุปที่อยู่ในจานกระฉอกออกมาจนเลอะเทอะไปหมด แต่เจ้าสุนัขจิ้งจอก สิ..มันแอบมองแล้วสะแหยะยิ้มออกมาด้วยความสะใจเป็นอย่างมากที่สามารถแกล้งนกกระสาได้อย่างนั้น

เจ้าสุนัขจิ้งจอกแกล้งเฉยทำหน้าตาย กินอาหารในจานของมันอย่างสะดวกสบายและเอร็ดอร่อย ซ้ำยังกล่าวกับนกกระสาให้เจ็บใจเล่นอีกด้วยว่า ' อ้าว..ท่านไม่ชอบอาหารในจานของท่านหรอกหรือ? ถึงได้กินอย่างเสียมารยาทจนสกปรกเลอะเทอะแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นล่ะก้อ เราจะช่วยกินแทนให้ท่านเอง แล้วกัน..โห ๆๆๆ ' ดังนั้น เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงกินอาหารในจานของมันและรวมทั้งที่อยู่ในจานของนกกระสา เสียจนหมดอีกด้วย นกกระสาจึงกลับไปด้วยความหิวเพราะแทบจะไม่ได้กินอะไรเลยสักนิด ' เจ้าสุนัขจิ้งจอก มันต้องตั้งใจแกล้งเราอย่างแน่นอนเลยงานนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ คงมีสักวันที่ฉันจะต้องทำให้เธอได้เจ็บใจ บ้าง ฮึ'
ต่อมาจากนั้นไม่นาน นกกระสาก็ได้เขียนจดหมายชวญเชิญสุนัขจิ้งจอกให้มากินอาหารที่บ้านของตนบ้าง ' ท่านสุนัขจิ้งจอก เราอยากจะขอเชิญท่านมารับประทานอาหารที่บ้านของเราบ้าง เพื่อเป็นการ ตอบแทนในน้ำใจของท่าน ' เจ้าสุนัขจิ้งจอกด้วยมันกำลังหิวอยู่ตอนนั้น เลยลืมเรื่องที่มันเคยได้แกล้ง นกกระสาเอาไว้นั้นเสียสนิท เมื่อมันได้รับจดหมายชวญกินอาหารอย่างนั้นก็ให้เป็นดีใจ จึงรีบเดินทาง ไปที่บ้านของนกกระสาทันทีนั้นเลย

เมื่อมาถึง...นกกระสาได้เชิญให้สุนัขจิ้งจอกเข้ามาข้างในแล้ว มันก็ได้ยกอาหารที่ได้จัดเตรียมใส่ไว้ใน เหยือกคอสูงสองใบ ออกมาวาง คราวนี้จึงถึงคราวที่เจ้าสุนัขจิ้งจอก ไม่สามารถจะกินอาหารที่อยู่ ในเหยือกนั้นได้ มันจึงต้องเป็นฝ่ายต้องนั่งเฝ้าดู ขณะที่นกกระสากินอาหารในเหยือกทั้งสองใบนั้น อย่างเอร็ดอร่อย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
๐ ถ้าใช้เล่ห์กลกับบุคคลอื่นได้ คนอื่นก็อาจจะใช้เล่ห์กลอย่างเดียวกันได้เช่นกัน
ที่มา http://baby.kapook.com/

นิทานชาดก – ยอดหญิงกตัญญู


สาเหตุที่ตรัสชาดก :: …..สมัยพุทธกาล ณ แคว้นโกศล มีโจรกลุ่มหนึ่งปล้นสะดมชาวบ้านแล้วหนีไป ชาวบ้านจึงพากันหาโจรจนมาถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง พบชาย ๓ คนกำลังไถนาอยู่ จึงคิดว่าเป็นโจรปลอมเป็นชาวนา จึงจับกุมทุบตีแล้วคุมตัวมาถวายพระเจ้าโกศล …..ต่อมา ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินร้องให้รำพันรอบๆ พระราชวัง ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม ความทราบถึงพระเจ้าโกศล พระองค์มีรับสั่งให้นำผ้าสาฎกไปมอบให้แก่นาง แต่นางกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นและกล่าว “ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม คือสามี” …..ราชบุรุษจึงนำนางไปเข้าเฝ้า พระเจ้าโกศลได้ทรงซักถาม นางจึงว่า “สามีชื่อว่าเครื่องนุ่งห่มของหญิง เมื่อไม่มีสามี แม้จะนุ่งห่มผ้าราคาตั้ง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ก็ชื่อว่าหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง แม่น้ำไม่มีน้ำ ชื่อว่าเปลือย แว่นแคว้นไม่มีราชา ชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจากสามี ถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย” …..พระเจ้าโกศลเกิดเลื่อมใสจึงตรัสคืนชายหนึ่งคนให้ นางจึงขอพี่ชายและให้เหตุผลว่า ถ้ายังมีชีวิตย่อมหาสามีใหม่และมีบุตรใหม่ได้ แต่บิดามารดาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่อาจจะมีพี่ชายได้อีก พระเจ้าโกศลเห็นความฉลาดของนางจึงโปรดไว้ชีวิตชายทั้งสาม …..เรื่องดังกล่าวเลื่องลือแม้กระทั่งในหมู่ภิกษุ ความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า อุจฉังคชาดก ——————————————– :: ข้อคิดจากชาดก :: ๑. ผู้ที่มีหน้าที่ปราบปราม นำคนผิดมาลงโทษ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าจับคนด้วยเพียงการคาดคะเน เพราะการลงโทษคนบริสุทธิ์เป็นบาปอย่างยิ่ง การปล่อยคนผิดไป ๑๐๐ คน ยังดีกว่าการลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว …..๒. คนเราควรหาโอกาส “ตอบแทนคุณ” ของผู้ที่มีพระคุณต่อเราอยู่เสมอ …..๓. ผู้ที่รู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ย่อมไม่ถึงความตกต่ำอย่างแน่นอน …..๔. ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม แม้ความตายมาถึงตัว ก็มีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว สามารถเผชิญความตายโดยอาจหาญ ย่อมเป็นผู้ที่ “ประสบสุขได้แม้ในยามทุกข์” …..๕. พี่น้องกันนั้น “ฆ่ากันไม่ตาย ขายกันไม่หมด” แม้จะมีเรื่องผิดใจกันอย่างไร แต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน ย่อมพึ่งพากันได้